วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

โครงงาน สถานที่ท่องเที่ยวใน อ. โพธาราม และใกล้เคียง


ชื่อโครงงาน สถานที่ท่องเที่ยวใน อ. โพธาราม และใกล้เคียง

Travel In Photharam

 ประเภทโครงงาน  โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา

 ชื่อผู้ทำโครงงาน

-                   1.  นาย        เชษฐา         จำเล           เลขที่  12      ม. 6/4

-                   2.  นางสาว  พรรณิภา    ชลวิถี          เลขที่  27     ม. 6/4

-                   3.  นางสาว  พิชญธิดา   วงศ์เนตร     เลขที่  31     ม. 6/4

 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา

-                   นาย  สมชาย    ขวาไทย

 ระยะเวลาดำเนินการ

 21 ตุลาคม 2556   -   2 ธันวาคม 2556

 

แนวคิด ที่มา และความสำคัญ

สถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอโพธารามมีมากมายหลายแห่ง ซึ่งบางครั้งชาวอำเภอโพธารามมิได้ให้ความสำคัญและทอดทิ้งสิ่งที่มีความสำคัญและเอกลักษณ์ประจำอำเภอ แต่ยังมีชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจในการมาท่องเที่ยวที่อำเภอโพธารามและช่วยกันบอกต่อกันว่าที่อำเภอโพธารามนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สมควรให้อนุรักษ์ไว้ ฉะนั้นชาวอำเภอโพธารามจึงช่วยกันอนุรักษ์สถานที่ท่องเที่ยวให้อยู่คู่ชาวโพธารามต่อไป

วัตถุประสงค์

1.เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาถึงสถานที่สำคัญของอำเภอโพธาราม

2.เพื่อเป็นการอนุรักษ์สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวโพธาราม

3.รู้ถึงประวัติความเป็นมาและประโยชน์ของอำเภอโพธาราม

4.เพื่อให้ทราบข้อมูลเรื่องที่พัก การโดยสาร
 

ปัญหาหรือประโยชน์ที่เป็นเหตุผลให้ควรพัฒนาโครงงาน

            ปัญหาที่ทำให้ควรพัฒนาโครงงาน

            ปัจจุบันนี้โลกของเราได้เปลี่ยนไป ทำให้การเดินทางและการท่องเที่ยวมีการใช้เวลาที่รวดเร็วขึ้น ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่สนใจในการท่องเที่ยวในประเทศตนเอง หรือบางครั้งคนไทยกลับท่องเที่ยวสถานที่ที่ไม่ใช่เชิงวัฒนธรรม  

            ประโยชน์ที่เป็นเหตุผลให้ควรพัฒนาโครงงาน

            ทำให้คนไทยหรือคนในท้องถิ่นหันมาสนใจสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศตนเองหรือในท้องถิ่นกันมากขึ้น และทำให้มีการค้าขายของกลุ่มคนในชุมชน ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นมีรายได้ในการท่องเที่ยว

เป้าหมายและขอบเขตขอโครงงาน

            เป้าหมายของโครงงาน
1. เพื่อให้เข้าใจถึงการท่องเที่ยวอย่างมีคุณค่าในรูปแบบการท่องที่ยวเชิงอนุรักษ์
2. เพื่อได้เรียนรู้ถึงสถานที่ท่องเที่ยว,ประวัติความเป็นมา,ประเพณีวัฒนธรรมในอำเภอโพธาราม
3. เพื่อเป็นการแนะนำเส้นทางการท่องเที่ยว ในเขต อำเภอ โพธาราม
4. เพื่อผลิตสื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในเขต อำเภอ โพธาราม

ขอบเขตด้านพื้นที่ ดำเนินการ 5 พื้นที่ได้แก่ 1) วัดขนอน 2) ค่ายหลวงบ้านไร่ 3) วัดเขาช่องพราน 4) สุนทรีแลนด์ 5) หุ่นขี้ผึ้งสยาม

ขอบเขตด้านเนื้อหาและกิจกรรมการดำเนินงาน
กิจกรรมที่ 1 การจัดทำเส้นทางท่องเที่ยว ลักษณะของการดำเนินงาน คือ การสำรวจความต้องการ รูปแบบการท่องเที่ยวและพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศที่เดินทางมาท่องเที่ยวในกลุ่มอำเภอ โพธารามโดยใช้เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ  การศึกษาข้อมูลทุติยภูมิ เพื่อทำการสังเคราะห์และวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมทางการตลาด และปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวและการพัฒนาการท่องเที่ยว   เชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรม เพื่อนำมาเป็นข้อมูลการวิเคราะห์และตัดสินใจพัฒนาเป็นรูปแบบ โปรแกรมและกิจกรรมทางการท่องเที่ยวของแต่ละพื้นที่ต่อไป จากนั้นจึงทำการประมวลผลข้อมูลที่ได้จากการสำรวจความต้องการของนักท่องเที่ยว และเสนอจัดทำเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวตอบโจทย์กลุ่มที่ให้ความสนใจในการท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของกลุ่มอำเภอ โพธารามโดยมีเป้าหมายเชิงปริมาณ

 

วัดขนอนหนังใหญ่ (อ.โพธาราม จ.ราชบุรี )

วัดขนอนหนังใหญ่ (อ.โพธาราม จ.ราชบุรี )


หนังใหญ่
หนังใหญ่  เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมไทย  ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นการแสดงชั้นสูง  เป็นการแสดงที่รวมศิลปะที่ทรงคุณค่าหลายแขนง  ได้แก่  ด้านศิลปะการออกแบบลวดลายไทยเชิงจิตรกรรมที่มีความวิจิตรบรรจง  ผสมกับฝีมือช่างแกะสลักที่ประณีต  เมื่อแสดงก็จะมีการนำศิลปะทางนาฏศิลปืการละคร  ที่เคลื่อนไหวอย่างได้อารมณ์ ตามเนื้อเรื่อง  ประกอบกับบทพากย์  บทเจรจา  บทขับร้อง  ดนตรีปี่พาทย์  ทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องราว  และให้อรรถรสทางศิลปะแก่ผู้ชมได้อย่างสมบูรณ์  การแสดงหนังใหญ่จึงมีคุณค่าทางศิลปะสูง  และแสดงถึงอัจฉริยภาพของบรรพบุรุษไทยได้เป็นอย่างดี
ประวัติความเป็นมา
มหรสพที่เก่าแก่ของไทยนี้ กล่าวกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่หลักฐานการแสดงหนังใหญ่เริ่มมี สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) นับเป็นมหารสพที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ในสมัยรัตนโกสินทร์ปรากฏหลักฐานในการแสดงหนังใหญ่ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ร.1) ว่าทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอิเหนา เพื่อใช้แสดงเพิ่มขึ้นจากเรื่องรามเกียรติ์ สมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ร.2) มีหลักฐานการสร้างตัวหนังใหญ่และบทวรรณคดีที่ใช้ในเรื่องรามเกียรติ์ ใช้แสดงหนังใหญ่ชุดพระนครไหว ซึ่งต่อมาได้มีการนำมาเก็บไว้ ณ โรงละครแห่งชาติหลังเก่า แต่ถูกไฟไหม้เกือบหมด สมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) พบการทำหนังใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ หนังใหญ่วัดสว่างอารมณ์ จังหวัดสิงห์บุรี และหนังใหญ่วัดขนอน จังหวัดราชบุรี
ประะวัติหนังใหญ่วัดขนอน
หนังใหญ่วัดขนอน ได้มีการสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ผู้ริเริ่มในการแกะสลักตัวหนังคือ ท่านพระครูศรัทธาสุนทร (หลวงปู่กล่อม) เกิดปีวอก พ.ศ.2391 มรณภาพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2485 รวมอายุได้ 95 ปี ท่านมีความคิดที่จะสร้างหนังใหญ่ให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม จึงได้ชักชวนครูอั๋ง ช่างจาด ช่างจ๊ะ และช่างพ่วง มาร่วมกันสร้าง ชุดแรกที่สร้างคือ ชุดหนุมานถวายแหวน ต่อมาได้สร้างเพิ่มอีกรวม 9 ชุด ปัจจุบันมีตัวหนัง 313 ตัว นับเป็นสมบัติวัดที่ได้ร่วมรักษาสืบทอดกันมาเป็นเพียงวัดเดียวที่มีมหรสพ เป็นของวัด มีตัวหนัง และคณะหนังใหญ่ที่สมบูรณ์อยุ่ในความอุปถัมป์ของวัดสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
ข้อมูลท่องเที่ยว
เปิดบริการให้เข้าชม
: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-17.30 น.
เปิดการแสดง ณ โรงแสดงหนังใหญ่วัดขนอน
: ทุกวันเสาร์ เวลา 10.00 – 11.00 น.
งานเทศกาลหนังใหญ่วัดขนอน
: วันที่ 13 – 14 เมษายน ของทุกปี
การเดินทาง
รถยนต์ส่วนตัว ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่านจังหวัดนครปฐมเข้าสู่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี จากนั้นเลี้ยวขวาบริเวณสี่แยกอำเภอบางแพ  ไปตามทางหลวงหมายเลข 3090 เข้าสู่อำเภอโพธาราม ข้ามสะพานแม่น้ำแม่กลอง แล้วเลี้ยวขวาไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 3089 ประมาณ 3 กิโลเมตร วัดขนอนตั้งอยู่ทางขวามือ
รถโดยสารประจำทาง  มีรถโดยสารปรับอากาศของบริษัทโพธารามทัวร์ จำกัด ออกเดินทางจากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 6.30-19.30 น. อัตราค่าโดยสาร 55 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2435-5036
ที่อยู่
พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ วัดขนอน ต.สร้อยฟ้า อ.โพธาราม จ.ราชบุรี 70120
GPS   N13.708325940309228 , E99.84765529632568
โทรศัพท์  032 234 834

พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน เป็นทรงเรือนไทยภาคกลาง
โรงแสดงหนังใหญ่วัดขนอน
ภายในพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน
ตัวหนังใหญ่  ส่วนมากทำจากหนังโค
พิพิธภัณฑ์ด่านขนอน อยู่ติดกัน
นมัสการหลวงปู่กล่อม ผู้สร้างหนังใหญ่วัดขนอน

สุนทรีแลนด์ แดนตุ๊กตา (อ.โพธาราม )

สุนทรีแลนด์ แดนตุ๊กตา (อ.โพธาราม )



จากความรักในการทำตุ๊กตามากว่า 30 ปี สู่การสร้างสรรค์ “สุนทรีแลนด์ แดนตุ๊กตา” ดินแดนแห่งความฝันของคนรักตุ๊กตาทุกคน  ที่นี่จำลองบรรยากาศต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกมารวมกับตุ๊กตาน่ารักๆ ของสุนทรี เพื่อเติมเต็มจินตนาการและความสุขให้ผู้มาเยี่ยมเยือน  เพลิดเพลินกับการถ่ายภาพกับเหล่าตุ๊กตา ในบรรยากาศจำลองจากทั่วโลก  ทดลองทำตุ๊กตาด้วยตนเอง  ชิมกาแฟและอาหารอร่อยที่คัดสรรมาอย่างดี  และเลือกซื้อตุ๊กตาหลากหลายจากโรงงานสุนทรี
สถานที่ต่างๆ ภายในสุนทรีแลนด์

พาเที่ยวภายในสุนทรีแลนด์

1.  อันดับแรกพาไป ประตูทางเข้า – ซื้อบัตร
ผู้ใหญ่ 80บ. เด็ก 40บ.
2.  มาแปลงกายเป็นตุ๊กตาที่ห้องแปลงกายเป็นตุ๊กตา
3.  เดินทางมายังอุโมงค์ทางเข้าสุนทรีแลนด์
4.  ชาวเมืองตุ๊กตาิยินดีต้อนรับ
5.  คุณสามารถสัมผัส กอดและถ่ายรูปกับตุ๊กตาได้อย่างเต็มที่
6.  ภายในจะแบ่งเป็นโซนต่างๆ เช่น เมืองคาวบอย ,ชุดแต่งกายอาเซียน ฯลฯ
7. หมีเกาะบนก้อนเมฆ ยินดีต้อนรับ
8. เมืองจีน (ระวังเสือดุ)

9.  โซนนี้เด็กๆ ซนได้เต็มที่
10.  จากนั้นก็แวะมาที่ D.I.Y. Dolls workshop
ทดลองทำตุ๊กตาด้วยตัวเอง สนุกได้ความรู้ ได้ตุ๊กตาฝีมือตัวเองกลับบ้าน
11.  ท๊อปปิ้ง ตกแต่งตุ๊กตา ไม่มีจำกัด
12. ขั้นตอนการทำตุ๊กตา
13.  แวะร้านขายตุ๊กตา เลือกซื้อตุ๊กตาคุณภาพ ของฝากและของเล่นหลากหลาย จากโรงงานสุนทรีโดยตรง
14.  เดินจนเหนื่อย เติมพลังที่ร้านอาหารและกาแฟอารมณ์ดี R-Rom-D  ชิมกาแฟคั่วสดๆ หอมกรุ่นกลมกล่อม พร้อมชิมอาหารจานเด็ด สูตรต้นตำรับจากครัวสุนทรี

ชมค้างคาวร้อยล้าน วัดเขาช่องพราน (อ.โพธาราม จ.ราชบุรี)

ชมค้างคาวร้อยล้าน วัดเขาช่องพราน (อ.โพธาราม จ.ราชบุรี)


ยามอาทิตย์ใกล้อัสดง   แสงสุดท้ายจากขอบฟ้ากำลังจะลับหายไป  เหล่านกบินกลับรัง  แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในบริเวณวัดเขาช่องพราน เป็นประจำทุกวัน อันเป็นที่กล่าวขานลือไกลถึง บรรดาค้างคาวหนูจำนวนมหาศาลร้อยล้านตัว บินออกจากถ้ำเป็นสายควันดำโบกสะบัดเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหวไปมา เป็นเวลากว่า 1 ชม. เพื่อออกหากินและจะกลับมายังบริเวณถ้ำแห่งนี้อีกครั้งก่อนอรุณรุ่ง  เป็นภาพอันน่าประทับใจ  ของปรากฏการณ์มหัศจรรย์ทางธรรมชาติ  เป็นอย่างยิ่ง  ทางวัดเขาช่องพราน  จึงได้ร่วมกันปรับปรุงสถานที่ให้สวยงาม และเปิดให้ประชาชนเข้าเยี่ยมชมค้างคาว   ที่วัดเขาช่องพรานนี้มีลานจอดรถกว้างขวาง และมีร้านอาหาร ไว้บริการผู้ที่เข้ามาชมด้วย (ยังมีมูลค้างคาวที่เขานำมาจำหน่าย ถ้าสนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.032-354643)
สถานที่เที่ยวภายในวัดเขาช่องพราน
  • ถ้ำพระนอน  ลึกประมาณ 120 เมตร ภายในถ้ำมีที่กว้างบ้าง แคบบ้างที่กว้างที่สุดประมาณ 14 เมตร  มีพระพุทธไสยาสน์อยู่  1 องค์ขนาดยาวประมาณ 8 เมตร  สูงประมาณ 1 เมตร  และมีพระพุทธรูปต่างๆ ในถ้ำอีกประมาณกว่า  200 องค์  ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้สร้างแต่สันนิษฐานว่าใครสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาบ้าง สุโขทัยบ้าง
  • ขึ้นบันได 499 ขั้น ชมทิวทัศน์บนยอดเขา นมัสการพระบรมธาตุบวรวิสุทธิเจดีย์  ตรงจุดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์กว้างไกล ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า  และอยู่เหนือปากถ้ำค้างคาว สามารถมองเห็นค้างคาวออกจากถ้ำจากมุมนี้ได้
  • ถ้ำค้างคาว  ซึ่งอยู่ห่างจากปากถ้ำพระนอนประมาณ 40 เมตร  ปากถ้ำอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 20 เมตร  ปากถ้ำกว้างประมาณ 1 เมตร ภายในกว้างมากและมืดทึบ  เป็นที่อาศัยของค้างคาวหนูจำนวนมากหลายล้านตัว ทุกวันเวลาประมาณ 18.00-18.30 น. ค้างคาวจะบินออกจากถ้ำไปหากินและจะบินกลับเข้าถ้ำเวลารุ่งเช้า 05.00 น.  สิ่งที่น่าประทับใจสำหรับนักท่องเที่ยวคือ  การมาดูค้างคาวบินออกจากปากถ้ำด้วยความเร็วพร้อมกันโดยมีจ่าฝูงเป็นตัวนำ มีลักษณะคล้ายควันดำที่พุ่งออกจากปล่องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
  • ตลาดนัดตอนเย็น (เปิดเป็นบางวัน) มีอาหารอร่อยให้เลือกหลากหลาย และสินค้าใช้สอยอื่นๆ  เปิดบริเวณลานกว้างในวัดเขาช่องพราน
ข้อมูลท่องเที่ยว
ที่ตั้ง : วัดเขาช่องพราน หมู่ที่ 2 ต.เตาปูน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
GPS : N13.71815483284051 , E99.77144837379456
ช่วงเวลาที่เหมาะสม : 18.00 น. – 19.30 น. (ช่วงฤดูฝนควรเช็คสภาพอากาศ ฝนอาจตกในช่วงเย็น) หากต้องการขึ้นไปจุดชมวิวบนยอดเขาและนมัสการพระบรมธาตุบวรวิสุทธิเจดีย์  ควรเผื่อเวลาไว้อีก 2 ชม.
ค่าธรรมเนียม : ฟรี
ร้านอาหาร : ช่วงเย็นจะมีร้านอาหารเปิดบริการ บางวันมีตลาดนัด อาหารหลากหลายให้เลือก
การเดินทาง : รถส่วนตัว – ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่าน จ.นครปฐม ขับตรงไปทางจ.ราชบุรี จะลอดใต้สะพานลอยที่จะไป จ.กาญจนบุรี จะผ่านสหกรโคนมหนองโพธิ์ จะพบสะพานลอยข้ามสี่แยกบางแพไปยัง จ.ราชบุรี (ไม่ต้องขึ้นสะพานลอย) ให้ชิดซ้าย จากนั้นจะพบไฟแดง ให้เลี้ยวขวาเพื่อไปยัง อ.โพธาราม ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 3080 ขับมาประมาณ 5.4 กม. จะข้ามสะพานแม่น้ำแม่กลอง จากนั้นจะพบสามแยก (แยกซ้ายไปทางวัดเขาช่องพราน แยกขวาไปวัดขนอน) ให้เลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 3089 ประมาณ 11.6 กม. จะพบวัดเขาช่องพราน ติดถนนทางด้านขวามือ
สถานที่จอดรถ : กว้างขวางมาก
สิ่งอำนวยความสะดวก : ศูนย์บริการการท่องเที่ยวเทศบาลตำบลเขาขวาง(ห้องสมุดการเรียนรู้เพื่อชุมชน), ตลาดนัดตอนเย็น
Tip แนะนำ
  • ที่นี่ยังมีมูลค้างคาวที่เขานำมาจำหน่าย ถ้าสนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.032-354643
  • การขึ้นบันได 499 ขั้นสู่ยอดเขา เพื่อชมวิวทิวทัศน์ และนมัสการพระบรมธาตุบวรวิสุทธิเจดีย์ ต้องมีสภาพร่างกายพร้อมพอสมควร
  • ถ้ำต่างๆ ที่เขาช่องพราน มีกลิ่นมูลค้างคาวค่อนข้างเหม็น เตรียมผ้าปิดจมูก หรือยาดมไว้ก็น่าจะดี
  • ช่วงเวลาที่รอชมค้างคาว อาจเดินเล่นตลาดนัด(มีเป็นบางวัน)ของกินเพียบ หรืออาจจะไปใช้อินเตอร์เน็ต อ่านหนังสือ ที่ศูนย์บริการการท่องเที่ยวเทศบาลตำบลเขาขวาง(ห้องสมุดการเรียนรู้เพื่อชุมชน)
  • หากมาเที่ยวในฤดูแล้ง ป่าไม้บนเขาช่องพรานจะแห้งผลัดใบร่วง  และในช่วงฤดูฝน-หนาว ป่าบนภูเขาจะเขียวชะอุ่ม แต่ข้อเสียในช่วงฤดูฝนกลิ่นมูลค้างคาวค่อนข้างมีกลิ่นแรง มากกว่าฤดูแร้ง ซึ่งกลิ่นจะมีผลสำหรับผู้ต้องการเข้าไปในถ้ำพระนอน



เรื่องเล่าวัดเขาช่องพราน
วัดเขาช่องพรานเป็นวัดที่เก่าแก่ทางประวัติศาสตร์เริ่มก่อสร้างเมื่อ ปี พ.ศ. 2409  หรือในหลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.4)  โดยพระยาเทพประชุน(ปั้น) ต้นตระกูล “ปันยารชุน” ซึ่งบ้านเดิมอยู่ที่วัดคงคารามอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี  ได้บริจาคที่ดินผืนใหญ่ซึ่งเดิมเป็นป่าอยู่ระหว่างเขา 2 ลูก  คือ ระหว่างเขาช่องพรานกับเขาขวาง  แต่ปัจจุบันนี้โล่งกลายเป็นทุ่งนาไปแล้ว
โดยร่วมกับพระครูรามัญบดี (พระอาจารย์ศาล)และญาติมิตรเชื้อสายมอญในละแวกนั้น  สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2415  หรือในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.5)  วัดนี้อยู่ในสถานที่กว้างขวางและสวยงาม  เพราะสร้างขึ้นที่ข่องเขา 2 ลูก  ซึ่งเดิมเป็นทางเดินขอสัตว์ป่าที่ลงมากินน้ำที่หนองน้ำขนาดใหญ่ ดังนั้น  นายพรานจึงมักมาคอยดักยิงสัตว์เป็นประจำ  จึงตั้งชื่อว่า “เขาช่องพราน” และสร้างวัดเสร็จจึงตั้งชื่อว่า “วัดเขาช่องพราน”
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระองค์ท่านได้ทรงรับสั่งให้พระยาอินทรอภัยยกกำลังไปตั้งรักษาหนองน้ำที่เขาช่องพรานเพื่อสกัดกั้นกองทัพพม่าที่มาใช้น้ำจากหนองน้ำแห่งนี้  เลี้ยงช้างเลี้ยงม้าของตนและใช้ช่องเขานี้เป็นทางลำเลียงเสบียงอาหารด้วย  พระยาเทพประชุน  ได้นำคนไปสร้างวัดนี้เป็นจำนวนมาก  ครั้นเมื่อสร้างเสร็จได้ให้คนเหล่านั้นอาศัยบริเวณวัดต่อไป  เพื่อช่วยปลูกข้าวถวายให้แก่พระภิกษุสามเณรที่จำพรรษาที่วัด  เพราะขณะนั้นบ้านเรือนราษฎรยังไม่หนาแน่น  โดยมอบเนื้อที่ทำนาให้ประมาณ 80 ไร่และเล่ากันต่อมาว่ามีคนอาศัยทำนาประมาณ 10 ครอบครัว  วัดเริ่มสร้างเพียงศาลาและกุฎีหลังเล็กๆ มีพระประจำวัดเพียงไ่ม่กี่องค์  ต่อมาจึงค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นตามลำดับ  โดยมีพระครูรามัญดี(พระอาจารย์ศาล) เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก
ในปี พ.ศ. 2457 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้ทรงนำกองเสือป่าประทับแรมที่บริเวณวัดเขาช่องพรานและให้บรรดาผู้ติดตามเสด็จนั้น  มีพระยาราชสงครามและพระยาปรีชานุสาร์น(บุตรชายพระยาเทพประชุนทั้งสองท่าน) และเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (บุตรเขยพระยาเทพประชุน)รวมอยู่ด้วย  เมื่อเห็นสภาพวัดเขาช่องพรานที่ทรุดโทรมดังนั้นในปี พ.ศ. 2460 ทั้ง 2 ท่านจึงได้ช่วยกันทำการบูรณะช่วยซ่อมแซมเป็นการใหญ่  พร้อมทั้งสร้างแท่นพระพุทธรูปในพระอุโบสถด้วย
อนึ่งเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2530 คณะกรรมการวัดได้กระทำพิธีอัญเชิญพระอูรังคธาตุ พระบรมสารีริกธาตุ 4 สัญฐาน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระอรหันตธาตุ  ขึ้นไปประดิษฐาน ณ บวรวิสุทธิเจดีย์บนยอดเขา  เพื่อน้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช  รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมมหาจักรีวงศ์  ในวาระทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของพระพุทธศาสนิกชน
 

ค่ายหลวงบ้านไร่

ค่ายหลวงบ้านไร่
 
ค่ายหลวงบ้านไร่
ค่ายหลวงบ้านไร่
ค่ายลูกเสือระดับชาติ ประจำภาคกลาง ค่ายหลวงบ้านไร่
อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
ประวัติค่ายหลวง
         ตามพจนานุกรม ค่าย หมายความว่า “ที่พักกองทัพ” ถ้าเติมคำว่า “หลวง” เข้าไปย่อมจะหมายความว่า ที่พักกองทัพ ของพระเจ้าแผ่นดิน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้คำนี้ ดังนี้
         พระราชวังสนามจันทร์ ที่จังหวัดนครปฐม เป็น พระราชวัง แต่จะมีการซ้อมรบเสือป่าเมื่อใด ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนสภาพเป็นค่ายหลวง ผู้ที่เคยเป็น
ข้าราชการทั้งหลาย ณ ที่นั้น เปลี่ยนสภาพของตนเข้าประจำการในกรมกองเสือป่าที่ตนสังกัดอยู่พระราชวังสนามจันทร์ เปลี่ยนเป็น “ค่ายหลวงพระราชวังสนามจันทร์”
ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2454 เป็นค่ายหลวงแห่งแรก
         เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ขยายบริเวณซ้อมรบเสือป่าออกไปทางจังหวัดราชบุรี ค่ายหลวงบ้านโป่ง จึงเกิดขึ้นเป็นค่ายหลวงแห่งที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินไปประทับเป็นครั้งแรก
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2456 เมื่อกลับจากเดินทางไกลไปดอนเจดีย์
         เมื่อเสด็จพระราชดำเนินจากการเดินทางไกลไปทับตะโกใน พ.ศ. 2457 ขากลับ
         เสด็จพระราชดำเนินข้ามแม่น้ำแม่กลองมายังคลองตาคตแต่ค่ายหลวงคงจะยังไม่ได้สร้าง จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับแรมที่อื่น การสร้างค่ายหลวงคลองตาคต คงจะเสร็จ
ในปีต่อมา และเป็นค่ายหลวงแห่งที่ 3
         มีหลักฐานปรากฎว่า เมื่อการซ้อมรบเสือป่า พ.ศ. 2460 ได้เสร็จลงแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เข้าประทับที่ค่ายหลวงโพธาราม ซึ่งเป็นค่ายหลวงแห่งที่ 4
         เมื่อ พ.ศ. 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปยังตำบลชายทะเลของจังหวัดเพชรบุรี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกบริเวณ
พระตำหนักชายทะเลนั้นว่า “ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญ” ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2461 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เรียกว่าค่ายเพราะอาคารสถานที่ตลอดจนวัสดุก่อสร้าง
เหมือนกับค่ายหลวงบ้านไร่ คลองตาคต โพธาราม ค่ายหลวงแห่งนี้จึงเป็นค่ายหลวงแห่งที่ 5 กรมพลศึกษา ตกลงจะจัดบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ตำบลบ้านไร่ (ชื่อตำบลเดิม) อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ให้เป็นค่ายลูกเสือ โดยใช้นามว่า “ค่ายหลวงบ้านไร่” ค่ายหลวงบ้านไร่ จึงเป็นค่ายหลวงแห่งที่ 6
         พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปในท้องที่ชนบท เพื่อซ้อมรบเสือป่า ได้ประทับแรมในเต็นท์ ตามที่ฯพณฯ ม.ล. ปิ่น มาลากุล ได้ค้นคว้าหาหลักฐาน ดังต่อไปนี้
         ที่ตำบลหนองหญ้าปล้อง 28 มกราคม 2456
         ที่ตำบลดงมะม่วง 13 กุมภาพันธ์ 2457
         ที่ตำบลดอกก้างปลา ( 2 คืน) 2-3 มีนาคม 2461
         ที่ตำบลบ้านไร่ (2 คืน) 14 - 15 กุมภาพันธ์ 2462
         ที่ตำบลบ้านค้างแตง 17 กุมภาพันธ์ 2462
         ที่ตำบลบ้านไร่ 16 กุมภาพันธ์ 2463
         ที่ตำบลบ้านไร่ 18 กุมภาพันธ์ 2464
         ที่ตำบลบ้านไร่ 19 กุมภาพันธ์ 2564
         ที่ตำบลบ้านไร่ 23 กุมภาพันธ์ 2566
         ที่ตำบลบ้านไร่ 23 กุมภาพันธ์ 2467
         ที่ตำบลบ้านไร่ 27 กุมภาพันธ์ 2467
         ที่ตำบลบ้านไร่ 28 กุมภาพันธ์ 2467
ความเป็นมาของการสร้างค่ายหลวงบ้านไร่
         ค่ายหลวงบ้านไร่ ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี นับเป็นค่ายลูกเสือแห่งชาติแห่งที่ 2 ของคณะลูกเสือแห่งชาติ เดิมทีค่ายหลวงบ้านไร่แห่งนี้มีเนื้อที่เพียง 5 ไร่เศษ และเป็นที่ของ
วัดร้างชื่อวัดส้มเกลี้ยง และได้มีผู้บริจาคซื้อที่ดินเพิ่มเติมให้อีกปัจจุบันมีเนื้อที่ 82 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวา
         การกำเนิดของค่ายหลวงบ้านไร่นี้เกิดจากการดำริของ ฯพณฯ ม.ล. ปิ่น  มาลากุล ที่บอกกับ ฯพณฯ อภัย จันทวิมล และคณะ ในวันครบรอบ วันเกิด 7 รอบ ปีนี้ (2530) ว่า “อาจจะได้รับพระบรมราชานุสาวรีย์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องเสือป่า”เพราะยังระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อยู่ในฐานะที่เคยเป็นนักเรียนเสือป่ารับใช้ใกล้ชิด กับพระองค์ท่าน เมื่อคราวที่พระองค์ท่านเสด็จทอดพระเนตร
การซ้อมรบของเสือป่า ณ บริเวณทุ่งซ้อมรบ บ้านไร่ ตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ฯพณฯ อภัย จันทวิมล จึงได้ดำเนินการจัดตั้งกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ขึ้นเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์
โดย ฯพณฯ ปิ่น มาลากุล เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2530 เวลา 10.29 น. การก่อสร้างครั้งนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากชาวบ้าน คหบดีในละแวกนั้น ตลอดจนคณะกรรมการบริหารกเสือแห่งชาติ และ กรมพลศึกษาได้ช่วยกันดำเนินการและควบคุมการก่อสร้างให้เสร็จเรียบร้อย จนได้พระบรมราชานุสาวรีย์ อาคารที่ประทับ สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (อาคารสวัสดีบ้านไร่) ที่จะเสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด
         วันที่ 18 สิงหาคม 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้เสด็จมาเป็นองค์ประธาน ทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และ ค่ายหลวงบ้านไร่
         ค่ายหลวงบ้านไร่ ได้เปิดใช้มาตั้งแต่บัดนั้น มีลูกเสือ เนตรนารี  ยุวกาชาด จากโรงเรียนต่างๆ ทั้งในจังหวัดราชบุรี จังหวัดใกล้เคียง และจากกรุงเทพมหานคร ไปขอใช้เป็นประจำ
         ในวันที่ 1 มกราคม 2532 เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ครบ 9 รอบ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯพณฯ ม.ล. ปิ่น มาลากุล และคณะพร้อมกับชาวบ้านในละแวก
นั้นได้ทำบุญเลี้ยงพระจำนวน 108 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์เพื่อสร้างอาคารโรงเรียนอนุบาล และสโมสรเสือป่า
         ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2535 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จเปิดอาคารไชโย สโมสรเสือป่าน้อมเกล้าสุภัทรา อนามัยของเราและอาคารโรงเรียนธรรมาธิปไตย
ในวันที่ 26 - 28 สิงหาคม 2535 พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ประทับแรมค่ายหลวงบ้านไร่ เพื่อฝึกวิชายุวกาชาด
สถานที่ติดต่อ – ค่ายหลวงบ้านไร่ ดำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
โทร. 0-3223-2828

อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม (อ.บางแพ)

อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม (อ.บางแพ)

           เมื่อนึกถึงหุ่นขี้ผึ้ง หลายท่านอาจนึกถึงพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง ที่จังหวัดนครปฐม เพราะที่นั่นก่อตั้งมาก่อน  สำหรับอุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยามที่ราชบุรี เริ่มเป็นที่รู้จัก และมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ  เพราะที่นี่มีเอกลักษณ์ที่ต่างออกไป  หุ่นที่ไม่เหมือนกัน  บรรยากาศที่ร่มรื่น ในเนื้อที่ถึง 14 ไร่ เมื่อผ่านประตูเข้าไปคุณจะสัมผัสบรรยากาศหลายๆ แบบ แต่ละจุดจะทำให้คุณเกิดความประทับใจอย่างแน่นอน  และยังมีการจัดกิจกรรมขึ้นในช่วงเทศกาลต่างๆ และสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ทำให้หลายคนที่เคยมา หวนกลับมาแวะเที่ยวชมที่นี่อีกครั้ง
              อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยามเกิดขึ้น จากความตั้งใจ และความคิดของท่านผู้ก่อตั้งซึ่งมีรากฐานการเริ่มต้นของงานมาจากงานหล่อพระพุทธรูป งานหล่อประติมากรรมรูปต่างๆ นับจากอดีตจนสู่ปัจจุบัน เป็นระยะเวลากว่า ๔๐ ปีที่ผ่านมา จากประสบการณ์ทำให้ผู้ก่อตั้งมีความคิดที่จะสร้างสรรค์ ผลงานประติมากรรมรูปเหมือน ของพระสงฆ์รูปต่างๆ ซึ่งจำพรรษาในกุฏิ และรูปเหมือนบุคคลสำคัญต่างๆที่ท่านผู้ก่อตั้ง มีความศรัทธายกย่อง ในด้าน แนวความคิด ในการทำงาน และการดำเนินชีวิต จนประสบความสำเร็จ รวมทั้งรูปเหมือน วิถีชีวิตวัฒนธรรม ความเป็นไทย ใน ภาคต่างๆ ของประเทศไทย จึงได้เริ่มก่อตั้ง โครงการอุทยาน หุ่นขี้ผึ้งสยามขึ้นมา ในปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ และด้วยความ มุ่งมั่น ที่มาจากความคิดสร้างสรรค์ จากความเชื่อมั่น ในคำสอน เรื่องทำความดี ความศรัทธาในบุคคล กำลังใจจากครูอาจารย์ เพื่อนมิตรและครอบครัว ทำให้โครงการ อุทยานหุ่นขี้ผึ้ง ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ที่จะนำเสนอ งานสร้างสรรค์ ด้านศิลปะ วัฒนธรรมไทย วิถีชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมไทย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อสืบทอด สิ่งดีงามเอกลักษณ์ ของไทยให้คงอยู่สืบต่อชนรุ่นหลัง
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนทางจิตใจ
๒. เพื่อเป็นแหล่งการศึกษาการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาในปัจจุบัน
๓. เพื่อปลูกจิตสำนึกในการดำเนินชีวิต
๔. เพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนาสำหรับเยาวชน
๕. เพื่ออนุรักษ์สืบสานศิลปะและวัฒนธรรมไทย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

สถานที่ต่างๆ ในอุทยานฯ
1. อาคารเชิดชูเกียรติ เป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างของอาคารจัดแสดงเรื่องราวรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาส ของบุคคล สำคัญทั้งในประเทศไทย และในภูมิภาค โดยบุคคลสำคัญที่ถูกเลือกมานำเสนอนั้น ล้วนเป็นผู้ ที่มีเกียรติ ประวัติ และคุณความดี ในการสร้างสรรค์ ผลงานอันเป็นประโยชน์ ต่อส่วนรวม จนได้รับการยกย่องนับถือ ให้เป็น แบบอย่างที่ดีทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ อาทิ ม.ล. ปิ่น มาลากุล , ฯพณฯ ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ,ศาสตราจารย์ ดร. ป๋วย อึ้งภากรณ์ , อาจารย์ มนตรี ตราโมท , สืบ นาคะเสถียร ,แม่ชีเทเรซ่า ,ประธานาธิบดีโฮจิมินห์ , เหมา เจ๋อ ตุง และ เติ้ง เสี่ยว ผิง  เป็นต้น
 
 
 
2. ลานพระสามสมัย เป็นสถานที่แสดง พระพุทธรูปในยุคสมัยอยุธยา สมัยสุโขทัย และสมัยเชียงแสน(ล้านนา) โดยจำลองสถานที่เป็นโบราณสถาน เสมือนสถานที่จริง ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่
 
 
 
3. ถ้ำชาดก ภาย ในถ้ำเป็นการแสดงหุ่น ที่เล่าเรื่องราวของ พระเวสสันดร ที่ได้บำเพ็ญเพียรทานบารมี เป็นเรื่องที่มี คติธรรม ที่สอนในเรื่อง ของการให้ ระหว่างพระเวสสันดร ผู้เสียสละโดยเป็นผู้ให้ และชูชกเป็นฝ่ายรับ และไม่รู้จักคำว่าพอ ชูชก มีอาชีพ ขอทานจนร่ำรวย แต่ก็ยังคงออกขอทานต่อไป เพราะไม่รู้จักพอ จึงนำเงินไปฝากไว้ ที่เพื่อน เพราะกลัวเงิน จะสูญ หาย ชูชกออกขอทาน เป็นเวลานานจนเพื่อนคิดว่า เสียชีวิตแล้วจึงนำเงินไปใช้จนหมด จึงต้องยก อมิตดา ให้เป็นภรรยาชูชก เป็นการใช้หนี้ ….
 
 
 
 
4. กุฏิพระสงฆ์  เมื่อเราเข้ามาในบริเวณนี้  เริ่มก้าวขึ้นบันได้สู่กุฏิพระ เสมือนเราได้มากราบไหว้ท่านจริงๆ เพราะสิ่งแวดล้อม กุฏิพระทรงไทย ทุกอย่างเหมือนจนคุณต้องสำรวมเพราะเหมือนท่านอยู่ ณ ที่นี้ด้วย
 
 
 
5. บ้านไทยสี่ภาค  เป็นการ จำลองบ้านไทยตามลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่เด่นชัดจาก ๔ ภาคในประเทศไทย ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอิสาน และภาคใต้ ภายในบ้านแต่ละหลังจำลองวิถีชีวิตความเป็น อยู่ของคนไทยในแต่ละภาค ที่สอดคล้อง กับสภาพสังคมวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม
 
 
 
6. ลานพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร   ในความหมายของ “พระโพธิสัตว์” คือ อริยบุคคล ที่ได้บรรลุอรหันต์ ทรงได้ตรัสรู้แล้ว แต่ยังไม่ยินดี ด้วยการเสด็จ ดับขันธ์ ปรินิพพาน ทรงมีปณิธานว่า จะอยู่คอยช่วยเหล่าสรรพสัตว์ ในโลกมนุษย์ก่อน จนถึงคนสุดท้าย ตามความเชื่อ ของศาสนาพุทธ นิกายมหายาน สัทธิตรันตระ เกิดขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 9- 10

ภายในเนื้อที่อันกว้างขวางและร่มรื่นของทางอุทยาน หุ่นขี้ผึ้งสยาม มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อาทิ น้ำตกจำลองขนาดใหญ่ตรงทางออกของถ้ำ ชูชก ซึ่งสร้างขึ้นจากการนำก้อนหิน ขนาดมหึมา หลายก้อนมาจัดวาง ให้ลดหลั่นกันอย่างสวยงาม และเป็นธรรมชาติ มีบ้าน กาแฟที่ให้บริการ เครื่องดื่ม อย่างกาแฟสด และน้ำสมุนไพรต่างๆ พร้อมกับมุมนั่งพักริมลำธาร รวม ๒ หลังด้วยกัน โดยบ้าน กาแฟหลังแรกตั้งอยู่ใกล้กับถ้ำชูชก ส่วน หลังที่สองตั้งอยู่ระหว่างบ้านไทย ๔ ภาค และ ลานพระโพธิสัตว์ฯ นอกจากนี้ ภายในจุดแสดง งาน ต่างๆ ของ ทางอุทยาน และบริเวณทางเดิน ยังมี เก้าอี้ วางไว้เป็นจุดๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยว สามารถ นั่งพัก และชื่นชมธรรมชาติภายใน อุทยาน ได้ตลอด เวลา ส่วนหน้าของอุทยาน หุ่นขี้ผึ้งสยาม ตรงข้าม กับลานจอดรถ มีร้าน อาหาร ศูนย์จำหน่าย สินค้า โอท็อปห้าดาว และของที่ระลึกจากทั่วประเทศ และห้องแสดง งานศิลปะ ซึ่งนัก ท่องเที่ยวสามารถ เดินชม และเลือกซื้อผลงานอันสวยงามและมีค่า จาก หลากหลายศิลปินได้
การเดินทาง…
คลิกเพื่อดูขนาดใหญ่
ที่กิน…
ภายในอุทยานมีร้านอาหารขายในราคาไม่แพง  ร้านกาแฟ ไอศรีม เป็นจุดแวะพักที่เก๋ทีเดียว
สถานที่จอดรถ…
สถานที่กว้างขวางจอดรถสบาย
ราคาบัตรเข้าชม…
ผู้ใหญ่  50  บาท
เด็ก   20 บาท
วันและเวลา เปิดทำการ…
เวลาจำหน่ายบัตร วันจันทร์-วันศุกร์ : ๐๙.๐๐-๑๖.๓๐ น.
วันเสาร์,วันอาทิตย์ : ๐๘.๓๐-๑๗.๐๐ น.
วันหยุดนัตขฤกษ์ : ๐๘.๓๐-๑๗.๐๐ น.
ที่อยู่ 41/1 ม.3 ต.วังเย็น อ.บางแพ จ.ราชบุรี 70160
โทรศัพท์ 032381401, 032381404
โทรสาร 032381403

แผนที่…